www.thailaendisch.de

Geschichten von meiner Frau uebersetzt

Diskutiere Geschichten von meiner Frau uebersetzt im Thaiboard Forum im Bereich Thailand Forum; Romulus and Remus โรมูลัสและเรมัส โรมูลัสและเรมัสเป็นฝาแฝด แม่ของเด็กทั้งสองได้ตายจากไปเมื่อพวกเขายังเล็กๆ...
C

Chonburi's Michael

Gast
[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]Romulus and Remus

โรมูลัสและเรมัส
โรมูลัสและเรมัสเป็นฝาแฝด แม่ของเด็กทั้งสองได้ตายจากไปเมื่อพวกเขายังเล็กๆ จึงไม่มีใครคอยดูแลและเลี้ยงดูพวกเขา ดังนั้นเด็กทั้งสองจึงถูกนำใส่ในตะกร้าและปล่อยลงไปในแม่น้ำไทเบอร์ ตะกร้าซึ่งมีเด็กทั้งสองอยู่ได้ลอยผ่านไปผ่านเมืองเมืองหนึ่งซึ่งในปัจจุบัน นี้คือประเทศอิตาลี แสงแดดอันอบอุ่นและสายน้ำที่สงบนิ่งนำเด็กทารกซึ่งเปรียบเสมือนโขดหินที่ อยู่ในอ้อมกอดของแม่ แต่ว่าเด็กทั้งสองหิวมาก ไม่มีนม แม่น้ำไหลไปเรื่อยๆ จนมาถึงริมฝั่ง และตะกร้าถูกพัดเกยขึ้นไปสู่ผืนทรายในช่วงเวลาที่น้ำเริ่มลง ซึ่งนำเด็กทั้งสองมาสู่แผ่นดิน
ขณะที่แม่หมาป่าออกหากินไปตามริมฝั่งแม่น้ำ มันกำลังมองหาอาหารอยู่ และเมื่อมันเห็นตะกร้ามันจึงเข้าไปดูข้างใน ซึ่งมันเห็นเด็กทั้งสองกำลังร้องไห้อยู่ ซึ่งเด็กทั้งสองทำให้แม่หมาป่านึกถึงลูกของมัน มันใช้ลิ้นเลียเด็กทั้งสอง แต่มันไม่มีความคิดที่จะกินเด็กทั้งสอง แม่หมาป่ากลิ้งโรมูลัสและเรมัสออกจากตะกร้าด้วยอุ้งเท้าของมัน แล้ววางลงบนทรายแล้วนำไปที่ถ้ำชองมัน และลากเข้าไปข้างใน จากนั้นจึงวางเด็กทั้งสองไว้ใกล้ๆ ลูกของมัน ซึ่งลูกหมาป่ากำลังหลับอยู่ พวกมันตื่นเมื่อแม่หมาป่ายื่นตัวออกไป และลูกหมาป่าก็เข้ามาหาแม่หมาป่าเพื่อดูดนม ซึ่งรวมทั้งโรมูสัสและเรมัสด้วย และเด็กทั้งสองก็หลับไปข้างๆ แม่ใหม่ที่เด็กทั้งสองรู้สึกแปลกหน้า
ช่วงเวลาหนึ่งโรมูลัสและเรมัสจะอาศัยอยู่ในถ้ำ เด็กทั้งสองจะเล่นกับลูกหมาป่าด้วยการกลิ้งไปกลิ้งมา พวกเขาโตขึ้นอย่างแข็งแรง และสามารถเดินได้นานกว่าเด็กอื่นๆ ไม่นานเด็กทั้งสองก็คลานออกมาจากถ้ำ พวกเขามองเห็นท้องฟ้าที่สดใส แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แม่หมาป่ามีความยากลำบากในการเลี้ยงดูพวกเขาให้อยู่แต่ ในถ้ำ
วันหนึ่งคนเลี้ยงแกะได้ผ่านมาที่นี่ และเขาเห็นเด็กทั้งสองกำลังเล่นอยูบนพื้นทราย เขาจึงรับเด็กทั้งสองกลับไปให้ภรรยาเขาเลี้ยงดู ทั้งชายเลี้ยงแกะและภรรยาเลี้ยงดูเด็กทั้งสองเหมือนกับเป็นลูกของตัวเอง เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นด้วยความรักของคนทั้งคู่ แต่พวกเขาก็ไม่เคยที่จะลืมแม่หมาป่าเลย บ่อยครั้งที่พวกเขาวิ่งกลับไปหาแม่หมาป่าที่ถ้ำ และเล่นกับลูกหมาป่า เด็กทั้งสองชอบที่จะเล่นอยู่ริมแม่น้ำ พวกเขาจะเดินลุยน้ำแล้วใช้เท้าเขี่ยทรายในสายน้ำที่แสนอบอุ่น
เมื่อฉันโตขึ้นฉันจะสร้างหมู่บ้านอยู่ริมแม่น้ำไทเบอร์ โรมูสัสพูด เด็กน้อยเรมัสไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้จนเติบใหญ่ หลายปีต่อมาโรมูลัสสร้างบ้านของเขาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ ใกล้กับถ้ำของแม่สุนัขจิ้งจอก เขามีเพื่อนมากมาย และเพื่อนๆ ของเขาได้สร้างบ้านขึ้นใกล้ๆ บ้านของโรมูลัส ในช่วงเวลาที่เมืองใหญ่เจริญเติบโตขึ้น โรมูลัสเป็นคนที่มีความฉลาดและเข้มแข็ง ดังนั้นผู้คนจึงตั้งให้เขาเป็นหัวหน้า และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเมืองที่ยิ่งใหญ่ โรม ซึ่งยังคงตั้งอยู่และเจริญเติบโตริมแม่น้ำไทเบอร์
[/FONT] [FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]
[/FONT]
 
C

Chonburi's Michael

Gast
[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]The Ghost of the One Black Eye

คืนที่มืดสนิทและมีพายุ ชายหนุ่มมาร์ตินได้หยุดอยู่หน้าโรงแรมเก่าแก่แห่งหนึ่ง เขาเคาะเรียก แต่ไม่มีเสียงใดๆ ประตูไม่ได้ล็อค ชายหนุ่มจึงเปิดประตูและเดินเข้าไป เขาพบห้องรับแขกขนาดใหญ่ ในนั้นมีเก้าอี้นอนเก่ามาก และเก้าอี้สำหรับนั่งไม่กี่ตัว มาร์ตินรู้สึกเพลียมาก ตัวของเขาเปียกปอน เขานอนลงบนเก้าอี้นอนและหลับไปในเวลาไม่นาน จนกระทั่งดึกสงัด มีเสียงบางอย่างปลุกให้เขาตื่น เขาได้ยินเสียงดังรัวของกาต้มน้ำและกะทะ มาร์ตินเริ่มตัวสั่นด้วยความกลัว เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้นอนตัวเก่าแล้วเดินอย่างเงียบๆ ไปในห้องครัว และเขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ผิวขาวราวหิมะ หญิงสาวหันมาหาชายหนุ่มอย่างช้าๆ และยิ้ม ทันใดนั้นเขารู้สึกว่า รอยยิ้มนั้นกับปากที่ซีดขาว และฟันสีขาวที่เปล่งแสงออกมาในความมืด มาร์ตินอยากจะวิ่งไปจากตรงนั้น แต่ก่อนที่เขาจะทำอย่างนั้นได้ หญิงสาวก็พูดเสียงเบาๆ ว่า " ฉันเป็นสีที่มีตาดำข้างเดียว เมื่อมาร์ตินจ้องมองก็เห็นว่าหญิงสาวมีตาดำเพียงข้างเดียว และในทันใดนั้นเด็กชายคนหนึ่งก็ปรากฎขึ้น ผิวของเด็กชายขาวเหมือนคนจีน และรวมทั้งผมด้วยที่มีสีขาว ฉันเป็นผีที่มีตาสีดำเพียงข้างเดียว เด็กชายพูดด้วยเสียงอันดัง และเมื่อมาร์ตินจ้องมองไปที่เด็กชายก็พบว่าเด็กชายมีตำสีดำเพียงข้างเดียว ในเวลานั้นชายหนุ่มคนหนึ่งก็เข้ามา เขาถือเทียนอยู่ในมือ เล็บของเขายาวเหมือนใบมีด " ฉันเป็นผีที่มีตาสีดำเพียงข้างเดียว " เขาตะโกนขึ้น และเมื่อมาร์ตินจ้องมองไปก็พบว่าชายหนุ่มมีตาเพียงข้างเดียว และจนถึงตอนนี้ มาร์ตินไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนไปไหนได้เลย คนแปลกหน้า 3 คนปรากฎตัวขึ้น และยืนอยู่หน้ามาร์ตินและยิ้ม ผีพวกนี้ยิ้มให้มาร์ติน ซึ่งชายหนุ่มทำได้แค่จ้องมอง และเมื่อเขาจ้องมองเด็ก 3 คนก็วิ่งเข้าไปในห้องครัว และส่งเสียงดังว่า " เราเป็นผีที่มีตาสีดำเพียงข้างเดียว " และมาร์ตินจ้องมองเด็กแต่ละคนที่มีตาสีดำเพียงข้างเดียว จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็เริ่มแผดเสียงอันดังว่า
" เราเป็นสีที่มีตาสีดำเพียงข้างเดียว ๆ ๆ " ในทันใดนั้นเอง เสียงประตูเปิดและปิดลงอย่างแรง ชายแก่คนหนึ่งเดินโซเซเข้ามาในครัว เขาสวมเสื้อนอนสีขาวตัวยาว และบนหัวของเขามีหมวกสำหรับสวมนอนอยู่ ชายแก่แกว่งไม้เท้าที่มีอยู่ในมือ และแผดเสึยงร้องดังมากกว่าการนิ่งเฉย " ถ้าพวกแกไม่เงียบ พวกแกจะกลายเป็นผีที่มีตาสีดำทั้งสองข้าง "
[/FONT]
 
C

Chonburi's Michael

Gast
[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]Astrology

โหราศาสตร์
เริ่มแรกที่กลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืน คนจะมองขึ้นไปที่ท้องฟ้าและส่งสัยว่าเกิดอะไรขึ้น มีอะไรอยู่บนพระจันทร์ ดวงดาว และดาวเคราะห์อื่นๆ การสังเกต การเคลื่อนย้ายที่เป็นแบบแผนจากส่วนต่างๆ ของท้องฟ้า เป็นที่รู้จักกันต่อมาคือโหราศาสตร์ ปัจจุบันนี้โหราศาสตร์ใช้ในการทำนายเกี่ยวกับดวงชะตาและอนาคตของมนุษย์
การใช้โหราศาสตร์เพื่อทำนายดวงชะตาของมนุษย์นั้น เริ่มมาจากชายบาบิโลเนียโบราณ แพร่ขยายไปสู่จีน อินเดีย และตะวันตก ในศตวรรษที่ 12 โหราศาสตร์ใช้ในการพิจารณาถึงความเชื่อเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ซึ่งเจริญ รุ่งเรืองและเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากจนถึงในศตวรรษที่ 17 กาลิเลโอผู้ซึ่งได้ประดิษฐ์คิดค้นกล้องโทรทรรศน์ และมนุษย์ก็พบว่า ดวงอาทิตย์ไม่ใข่โลกของเรา แต่เป็นศูนย์กลางของกลุ่มดาวซึ่งรวมตัวกันเรียกว่า แกแลคซี่ จากนั้นมาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางโหราศาสตร์ คนส่วนใหญ่คิดว่าโหราศาสตร์ไม่มีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าเป็นแค่ความเชื่อทาง ไสยศาสตร์ โดยส่วนใหญ่แล้วนั้นการทำนายดวยชะตาโดยการผูกดวงแบบโหราศาสตร์จะใช้การโคจร ของกลุ่มดวงดาว ซึ่งนักโหราศาสตร์จะกำหนดให้ใน 1 ปี มี 12 ราศี เรียกกันว่า จักรราศี สัญลักษณ์ของ 12 ราศีของจักรราศีจับคู่กันเป็นกลุ่มดาว และโคจรเป็นทางโค้งรอบแกแลคซี่ที่เราอยู่ การผูกดวงทางโหราศาสตร์วิธีหนึ่งคือการใช้แผนผังของท้องฟ้าในช่วงเวลากลาง คืน ณ ช่วงเวลาที่คนๆหนึ่งเกิด วันเกิดจะเป็นตัวกำหนดสัญลักษณ์ของจักรราศี เช่นคนที่เกิดระหว่างวันที่ 23 กรกฎาคม - วันที่ 22 สิงหาคม จะมีสัญลักษณ์ของราศีสิงห์ เพราะตำแหน่งของกลุ่มดาวสิงโตจะอยู่ระหว่างวันเหล่านั้น
สัญลักษณ์ของจักราศี เราสามาถตรวจสอบดวงชะตาโดยทั่วไปได้เป็นการตรวจสอบดวชะตาประจำวัน เป็นสัปดาห์ หรือเป็นช่วงระยะเวลาในอนาคต หรือโดยการผูกดวงส่วนตัว โดยการวาดรูปเพื่อให้ทราบสิ่งต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
นางแนนซี่ เรแกน ภรรยาของประธานาธิบดีโรนับ เรแกน ( ปี ค.ศ. 1980-1988 ) โดยปกติแล้วนางเรแกนจะใช้การทำนายโหราศาสตร์เป็นสิ่งช่วยในการบอกถึงช่วง เวลาที่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน วันหรือเหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆ ในชีวิตของประธานาธิบดี โรนัล เรแกน หรือคนบางกลุ่มใช้เป็นข่าวสารในการทำนาย หรือช่วยในการเลือกล็อตเตอรี่ และเลือกคู่ชีวิต หรือเกี่ยวกับอาชีพการงาน คนส่วนมากจะสับสนเกี่ยวกับโหราศาสตร์ และดาราศาสตร์ นี่เป็นแค่บางส่วนเพราะว่า ในบางครั้งความหมายของคำสองคำนี้จะสามารถที่จะเปลี่ยนกันได้
ทุกวันนี้ดาราศาสตร์ยังคงศึกษาเกี่ยวกับดวงดาวและดาวเคราะห์ นักดาราศาสตร์กาลิเลโอและกล้องโทรทรรศน์ของเขาสามารถแสดงให้เห็นถึงสิ่ง ต่างๆมากมายเกี่ยวกับปรากฎการณ์บนท้องฟ้าที่เราไม่เคยรู้มาก่อน นานหลายศตวรรษ การใช้เครื่องมือต่างๆที่ชำนาญในการช่วยให้นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ ค้นพบว่าดวงดาวคืออะไร หรือการดำรงอยู่ของแกแลคซี่ต่างๆ และการกำเนิดของระบบสุริยะจักรวาล นานหลายร้อยปีที่นักวิเคราะห์เคยมีคำถามถึงความเป็นไปได้ในทางโหราศาสตร์
ในความเป็นจริงทั่วไปก็คือ นักวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับพลังอำนาจของท้องฟ้า หรืออิทธิพล หรือการทำนายเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคต คนมากมายที่ใช้การทำนายโดยการอ่านลายฝ่ามือ เกี่ยวกับตัวเลข และการมองผ่านลูกแก้วใส ซึ่งไม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และไม่สามารถที่จะอธิบายได้
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การทำนายในทางโหราศาสตร์ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ทุกวันนี้เราสามารถตรวจสอบดวงชะตาได้ทางหนังสือพิมพ์ หรือทางสื่อโทรทัศน์ เพื่อผลทางด้านจิตใจ หรือการใช้เลขหมายซึ่งเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 1-900 เลขหมาย เพื่อให้คนสามารถโทรพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยคิดค่าตอบแทน ในยุคสมัยใหม่ซึ่งเป็นยุคที่วิทยาศาสตร์ก้าวไกล ดูเหมือนว่าคนมากมายยังคงมองหาคำตอบให้กับสิ่งต่างๆมากมาย ถึงความไม่แน่นอน หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้หวาดกลัวในอนาคต
[/FONT]
 
C

Chonburi's Michael

Gast
[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]Friday the thirteenth

ศุกร์ 13
ครั้งหนึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งได้พูดขึ้นในการรับประทานอาหารมื้อเย็น ซึ่งมันเป็นวันศุกร์ที่13 ชายหนุ่มพูดว่า เขาควรจะออกไปข้างนอก แต่เพื่อนของเราขอร้องด้วยความตกใจว่า
" อย่าไป "
" มันไม่ปลอดภัย มันเป็นวันศุกร์ที่ 13 "
ดังนั้นชายหนุ่มจึงอยู่รับประทานอาหารเย็นต่อ วันต่อมาเขาพบเพื่อนของเขาบนถนน
" คุณพูดถูก " ชายหนุ่มกล่าวเย้ยหยัน
" มันจะเกิดโชคร้ายถ้าเราออกไปข้างนอก มีคน 13 คนที่โต๊ะอาหาร แต่มีอาหารอยู่แค่ 12 ที่เท่านั้น "
คนบางคนไม่ชอบวันศุกร์ที่13 พวกเขาจะไม่ทำอะไรมากมายในวันนั้น ในความเป็นจริงก็คือ พวกเขาทั้งหลายไม่อยากจะลุกจากที่นอน พวกเขากลัววัน และตัวเลข เมื่อวันและตัวเลขมาบรรจบกัน นั่นถือเป็นข่าวร้าย อย่างน้อยที่สุดก็มีคนจำนวนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น
นี่เป็นความกลัวที่เรียกว่าความเชื่อทางไสยศาสตร์ มันเป็นความกลัวที่เกิดจากความรู้สึก ซึ่งคนจำนวนหนึ่งก็ถูกครอบงำโดยมัน
นานหลายปีมาแล้ว เรือจำนวนมากไม่สามารถที่จะแล่นออกไปได้ในวันศุกร์ที่ 13 คนมากมายที่คิดว่านั้นเป็นเรื่องโชคร้ายถ้าจะออกเรือไป พวกเขาคิดว่าเรือจะต้องอัปปาง คนบางส่วนไม่ชอบที่จะวางโปรแกรมการท่องเที่ยวในวันนั้น
คนบางคนกลัววันนี้เป็นอย่างมาก พวกเขากลัวถึงขนาดแค่เลข 13 มัสิ่งก่อสร้างจำนวนมากที่ไม่มีชั้นที่ 13 ชั้นที่13 ถูกเรียกว่าชั้น 12A เครื่องบินหลายลำไม่มีแถวที่นั่งที่ 13 แถวจะกระโดดไปจากแถวที่12 เป็น แถวที่ 14 โรงแรมบางแห่งจะไม่มีห้องที่13
ความกลัวเหล่านี้มาจากไหน ไม่มีใครรู้ความจริงที่แน่นอน บางคนว่า มันมาจากการรับประทานอาหารมื้อเย็นครั้งสุดท้ายของจีซัส ซึ่งมีชายหนุ่ม 13 คนในมื้ออาหารมื้อนั้น และหลังจากนั้น จีซัสก็ถูกฆ่าตาย
ความกลัวอื่นๆ เกิดขึ้นเป็นเวลานานหลายปีมาแล้วในยุโรป การรับประทานอาหารเย็นมื้อใหญ่ถูกจัดขึ้นในวันศุกร์ ทั้งหมดรอจนกระทั่งคนทั้ง 13 คนมาพร้อมกัน ไม่นานหลังจากนั้น คน1 ใน 13 คนก็ตาย นานมากหลายปีที่ความกลัวนี้มีมากขึ้นๆ บางสิ่งบางอย่างทำให้วันศุกร์กับเลข 13 นำมาซึ่งความโชคร้าย
คนส่วนใหญ่หัวเราะกับความกลัวเหล่านี้ มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าความกลัวเหล่านี้เป็นสิ่งที่โง่เง่าแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาทั้งหลายซึ่งมีความกล้าหาญที่จะพบปะกันในการรับประทานอาหาร กลางวันในวันศุกร์ที่ 13 มีคนทั้งหมด 13 คนในกลุ่มนี้ พวกเขาเดินไปใต้บันไดเพื่อไปที่ห้องรับประทานอาหาร มีบันได 13 ขั้น ก่อนที่พวกเขาจะกางร่มทั้ง 13คัน ซึ่งพวกเขารู้สึกสบายดีมาก แต่! จงเอามือของคุณไข้วกันไว้ และขอให้โชคดี
[/FONT]
 
C

Chonburi's Michael

Gast
[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]Tomcat

ทอมแคทเป็นแมวป่า มันมีรอยแผลเป็นที่หูของมันและขนบางส่วนหายไปจากการต่อสู้ ตาข้างหนึ่งจะปิดอยู่เสมอ แต่มันก็เป็นผู้ล่าที่เก่งมาก ทอมแคทจะอาศัยอยู่ในยุ้งข้าวของครอบครัวมิสเตอร์ลี มันจะคอยดักจับและไล่ล่าหนู ทุกเช้าและกลางคืนมิสเตอร์ลีจะออกมารีดนมวัว และในทุกวันเขาจะทิ้งชามนมเอาไว้ในยุ้งข้างให้ทอมแคท มันจะรอจนกระทั่งไม่มีใครอยู่แถวๆ นั้นแล้วจึงออกมากินนม ไม่มีใครเคยจับต้องตัวมันเลย และไม่มีใครเคยได้ยินเสียงร้องของมันด้วย พี่สาวของมิสซิสลีซึ่งอาศัยอยู่ในฟาร์มซึ่งห่างออกไปใช้เวลาเดินราว ๆ 1 ชั่วโมง จากฟาร์มของมิสซิสลี จะต้องไปทำธุระราวๆ 3 อาทิตย์ นางจึงนำสัตว์เลี้ยงของนางคือ มอลลีแมวท้องแก่ใกล้คลอดมาฝากมิสซิสลีไว้ ซึ่งมิสซิสลีบอกว่าจะให้มอลลีและลูกๆ ของมันที่จะคลอดเร็วๆ นี้อยู่ในกล่องในห้องครัว แต่มอลลีไม่ชอบอยู่ในห้องครัว มันออกไปที่ยุ้งข้าว อละใช้หญ้าที่เป็นเส้นๆ นำมาทำรัง และมอลลีก็เจอกับทอมแคท มันรักทอมแคทในทันทีที่เจอ มันเข้าไปเล่นกับทอมแคท และร้องด้วยความพอใจ ซึ่งทอมแคทจะคอยจับหนูและเอามาให้มอลลีกิน ซึ่งมิสเตอร์ลีจะคอยทิ้งชามบรรจุนม 2 ใบเอาไว้ให้ทอมแคทและมอลลีในยุ้งข้าว
ในเวลา 2 วันต่อมามอลลีก็คลอดลูก ทอมแคทซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ รัง จะคอยเฝ้าดูมอลลีอยู่ตลอดเวลา ในสัปดาห์ที่ 3 มอลลีจึงยอมให้ครอบครัวมิสเตอร์ลีเห็นลูกๆ ของมัน มิสซิสลีนำตัวมอลลีและลูกๆ ไปใล่ไว้ในกล่องในห้องครัว แม่มอลลีไม่ชอบที่จะอยู่ที่นั่น มันเอาลูกของมันกลับไปที่รังที่ยุ้งข้าวทีละตัวที ๆ
เมื่อลูกแมวอยู่ที่ฟาร์มมิสเตอร์ลีได้ 3 อาทิตย์กว่าๆ มิสซิสลีก็นำมอลลีและลูกของมันไปคืนให้พี่สาวของนาง มอลลีอยู่ที่บ้านของมันได้แค่คืนเดียว วันต่อมามิสซิสลีก็เจอมอลลีที่ถนน มันคาบลูกของมันไว้ในปาก ท่าทางมันเหนื่อยอ่อน มิสซิสลีมองดูมอลลีเอาลูกของมันไปไว้ที่ยุ้งข้าง จากนั้นมันและทอมแคทก็ออกจากยุ้งข้าง พวกมันเดินไปที่ถนนด้วยกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น มิสเตอร์ลีออกไปรีดนมวัวที่ยุ้งข้าว เขาเห็นมอลลีและทอมแคทเดินอยู่หน้ายุ้งข้าว ทั้งมอลลีและทอมแคทต่างก็มีลูกแมวอยู่ในปากพวกมัน พวกมันดูเหนื่อยมาก ตลอดคืนที่พวกมันเดิน และเอาลูกแมวมาใส่ไว้ในรังที่ยุ้งข้าว ซึ่งพี่สาวของมิสซิสลีไม่สามารถจะทำร้ายมอลลีได้อีก นางจึงรอจนลูกแมวตัวใหญ่ขึ้นแล้วจึงนำลูกแมวกลับบ้าน และทุกวันมิสเตอร์ลีจะทิ้งชามบรรจุนม 2 ชามไว้ในยุ้งข้าว
[/FONT]
 
C

Chonburi's Michael

Gast
[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]The Guckoo
คนทึ่ม
ชาวบ้านในหมู่บ้านกอททอม หมู่บ้านหนึ่งในประเทศอังกฤษ รักฤดูใบไม้ผลิเป็นชีวิตจิตใจ ทุกปีชาวบ้านจะเฝ้าคอยให้อากาศเย็น และฤดูหนาวที่แสนจะทรมานจบสิ้นลง และเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน พวกเขาจะร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข " มันช่างเป็นชีวิตที่มีความสุขในฤดูใบไม้ผลิ" ชาวบ้านกล่าวขึ้น แต่ฤดูใบไม้ผลิจะมาเยือนแค่ครั้งเดียวในทุกปี คนเจ้าปัญญาของหมู่บ้านกอททอมมักจะพูดอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ พวกเขาพูดถึงฤดูใบไม้ผลิว่าทำไมจึงมีแค่ครั้งเดียวในหนึ่งปี หรือทำไมท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้า และทำไมเชือกหนึ่งเส้นจึงมีทั้งสั้นและยาว ซึ่งการพูดคุยของคนเหล่านี้ เราเรียกว่า การพูดคุยอย่างไร้สาระ
ฤดูใบไม้ผลิจะมาเยือนเมื่อนกดูเหว่าร้อง และไม่นานนกดุเหว่าก็จากไป นั่นคือฤดูร้อนใกล้เข้ามาทุกที จากนั้นก็เป็นฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็น และฤดูหนาวที่แสนจะทรมานก็จะมาเยือน นั้นเป็นความจริงที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นคนเจ้าปัญญาคนหนึ่งจึงพูดขึ้น " นี้เป็นแผนการของฉัน เราจะจับนกดุเหว่าแล้วเลี้ยงเอาไว้ที่นี่ตลอดทั้งปี และเมื่อนั้นฤดูใบไม้ผลิก็จะอยู่กับเราตลอดไป " พวกคนเจ้าปัญญาคิดว่าที่เป็นแผนการที่ดีที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะจับนกดุเหว่าโดยใข้คณะสำรวจเข้าไปในป่าเพื่อ ตามหานกดุเหว่า 1 ตัวมาขังไว้ และพวกเขาก็เจอ ทุกคนต่างโห่ร้องไชโยด้วยความดีใจ พวกเขาร้องตะโกนขึ้นว่า " มันจะไม่มีฤดูหนาวในปีนี้ " และชาวบ้านบางส่วนก้นำเสื้อกันหนาวไปทิ้ง
นกดุเหว่าถูกขังอยู่ในกรง เด็กหญิงตัวน้อย ชื่อโจ คอยดูแลมันอยู่ ซึ่งชายเจ้าปัญญาคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้องแล้ว ฤดูใบไม้ผลิยังคงอยู่กับชาวกอททอมเป็นเวลานาน แต่หลังจากนั้นไม่นานผลไม้เริ่มผลิผล และรอคอยให้หน้าร้อนมาเยือน
" ต้นไม้เหล่านี้ไม่ชอบฤดูใบไม้ผลิแน่ๆ " คนเจ้าปัญญาพูดขึ้น แต่เขาคิดว่ามันจะต้องดีขึ้น ส่วนนกดุเหว่าซึ่งโจดูแลอยู่นั้น โจเห็นว่ามันไม่มีความสุขเลย นกดุเหว่าต้องการที่จะบินไปในทุกๆ ปี ดังนั้นในคืนหนึ่งที่มืดสนิท โจก็ปล่อยนกไป
" ลาก่อนเจ้านกดุเหว่า " โจพูด และในเช้าวันถัดมา ชาวบ้านในหมู่บ้านกอททอมก็พบว่านกหายไป พวกเขาร้องขึ้นว่า " นกดุเหว่าไปแล้ว ฤดูใบไม้ปลิกำลังจะจากไป และฤดูใบไม้ร่วงก็จะตามมา ตามด้วยฤดูหนาว " และมันช้าเกินไปที่จะคิดหานกดุเหว่าตัวใหม่ พวกมันทั้งหมดไปแล้ว และคนเจ้าปัญญาแห่งกอททอมก็ยังคงมีการนัดพบพูดคุยกัน คนทึ่มพูดขึ้นว่า " มันเป็นแค่ความกลัว ปราศจากนกดุเหว่าแล้ว ฤดูหนาวจะมาเยือนก่อนสิ้นปีนี้แน่น่อน " เขาพูดถูกต้อง ในช่วงคริสมาส อากาศหนาวก็มาเยือนหมู่บ้านกอททอม
[/FONT]
 
C

Chonburi's Michael

Gast
[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]Nikki

นิกกี้
นิกกี้คือสัตว์กินเนื้อที่อยู่กับครอบครัวอิงกริชมานานเกือบปี ความเป็นอยู่ของนิกกี้ในบางเวลานั้นดูค่อนข้างสับสน แต่บางครั้งก็ดูตลก นิกกี้ไม่ชอบรองเท้าที่ใช้เชือกผูกรองเท้า มันสามารถแกะเชือกรองเท้าออกได้อย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่วินาที โดยมันจะใช้อุ้งเท้าของมันซึ่งเป็นเสมือนมือเล็กๆ
ทุกคืน พ่อจะทำความสะอาดรองเท้าเพื่อไว้ใช้ในตอนเช้า ทุกๆ เช้าพ่อจะเจอกับรองเท้าที่ไม่มีเชือกรองเท้า
พ่อที่น่าสงสาร บางทีรองเท้าพ่อก็หายไป และในวันหนึ่งพ่อพบว่ารองเท้าคู่ที่ดีที่สุดของพ่อคู่หนึ่งถูกซ่อนไว้ ซึ่งสภาพมันน่าเกลียดมาก ฉันคิดว่าพ่อออกไปทำงานด้วยความรวดร้าวใจ
แม่ของฉันจะเก็บเชือกรองเท้าสำรองเอาไว้ สำหรับนิกกี้แล้วนั้น ใครก็ตามที่เข้ามาที่ประตู จะเหมือนตกอยู่ในโลกของนิกกี้ บ่อยๆ ที่นิกกี้จะแกะเชือกรองเท้าของแขกที่เข้ามาข้างในก่อนแขกที่น่าสงสารจะผ่าน ประตูไป เมื่อพวกเขาเดินไปข้างหน้า ก็จะเห็นว่าเชือกรองเท้าหลุดแล้ว พวกเขาก็จะหัวเราะ แขกบางคนจะไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของนิกกี้ ฉันเชื่อว่าหลายๆ คนต้องคิดว่าฉันเป็นผู้ทำมัน ส่วนแม่ก็ให้ให้เชือกรองเท้ากับแขก และบอกให้พวกเขาวางมันเอาไว้ข้างบนเวลาที่พวกเขาแกะเชือกรองเท้า นิกกี้มีการกระทำอื่นๆ อีก สิ่งนั้นคือการกัดนิ้วเท้า มันชอบกัดนิ้วเท้าคนที่ใส่ถุงเท้าด้วยความสนุกสนาน แขกแปลกหน้าที่มาจะไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น และมันจะชอบกัดถี่ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นประจำ และจากนั้นมันก็จะวิ่งวนไปรอบๆ และร้องเสียงเหมือนม้าด้วยความพอใจ มันชอบที่จะกัดหลายๆ ครั้ง
แม่จะให้เพื่อนๆ ของฉันถอดรองเท้าบู๊ทออกก่อนที่เพื่อนๆ ฉันจะเดินเข้ามาที่ประตู ซึ่งสำหรับนิกกี้แล้วมันเป็นเหมือนการเล่นกีฬาครั้งสำคัญ มันจะกระฌจนเข้าใส่และกัด ๆ ๆ ซึ่งเพื่อนๆ ของฉันมักจะคิดในตอนแรกว่ามันจะไม่ทำอะไรพวกเขา แต่ว่าเพื่อนๆ ของฉันก็ต้องรีบเปลี่ยนความคิดอย่างฉับพลัน และพวกเราทั้งหมดจะพากันวิ่งตรงไปยังห้องนอนของฉันแล้วรียปิดประตูอย่างรวด เร็วก่อนที่นิกกี้จะตามเข้ามาได้
มีครั้งหนึ่งพ่อเกิดความรู้สึกที่ย่ำแย่มาก พ่อหกล้มรองเท้าบู๊ทของพ่อซึ่งมันสกปรกมากที่ประตู พ่อจะเดินเข้ามาข้างในมองหารองเท้าแตะของพ่อ นั่นเป็นสิ่งที่ทำใหหห้นิกกี้พอใจมาก หลายครั้งในวันเดียวกัน พ่อจะกระโดดไปมาในห้องครัวเหมือนจิงโจ้ และจะร้องเสียงดังให้พวกฉันเข้าไปและหารองเท้าแตะให้พ่อ
ในคืนหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน พวกเราเชิญเพื่อนๆ บางคนมาสังสรรค์ที่บ้าน หลักจากที่พวกเราสุมกองไฟกองใหญ่อยู่กลางแจ้ง พ่อ กับแม่ และโซฟี พี่สาวของฉันออกไปจัดหาอาหาร ฉันยังจำได้เสมอเมื่อนึกถึงสีหน้าท่าทางของแม่เมื่อแม่กลับเข้ามาให้ห้อง นั่งเล่น และพบว่าแขกทุกคนยืนอยู่บนเก้าอี้ ซึ่งแม่ไม่ต้องสงสัยเลยถึงสาเหตุที่เกิดชึ้น เจ้านิกกี้มันอยู่ใต้เก้าอี้ และมันกระโจนเข้าใส่เหมือนม้า
ทุ่งกว้างเต็มไปด้วยโคน และมีกองไฟขนาดใหญ่อยู่ แขกของพวกเราจะถอดรองเท้าบู๊ท บางคนก็ถอดรองเท้าออก เมื่อพวกแขกเหล่านี้พากันเข้ามาในบ้าน ซึ่งนิกกี้เห็นว่ามันเป็นเสมือนฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ซึ่งมันจะใช้ช่วงเวลานี้กัดนิ้วเท้าได้มากที่สุด ซึ่งมันไม่เคยพบมาก่อนเลย
[/FONT]
 
C

Chonburi's Michael

Gast
[FONT=Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif]Generation X

เจเนอเรชั่น x
พวกเขาเป็นผู้ที่ก่อกำเนิดขึ้น และมีลักษณะชอบเยาะเย้ยถากถางผู้อื่น และเป็นคนที่ขี้เกียจไม่ชอบทำงาน พวกเขาเป็นใคร เขาคือ เจเนอเรชั่น x คนซึ่งเกิดระหว่างปี 1960-1980 ในคอนเหนือของอเมริกานั้นหมายถึงคนประมาณ 85 ล้านคน หลากหลายอิทธิพลก่อให้เกิดรูปแบบของการกำเนิด และตอนนี้พวกเขามีอายุมากขึ้นและเข้าไปทำงานทั้งหมด อะไรคืออทธิพลของคนเหล่านี้ อะไรคืออนาคตสำหรับกลุ่ม เจเนอเรชั่น x
ตอนนี้เราจะมาเริ่มทำความรู้จักกับพวกเขากัน เจเนอเรชั่น x คือผลผลิตจากพ่อแม่ ซึ่งเกิดในช่วงปี 1945-1960 เมื่อพวกเขาโตขึ้นและเริ่มเป็นเด็ก หลายสิ่งหลายอย่างในสังคมเปลี่ยนไป ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีผลกระทบต่อทายาทของพวกเขา สถิติการหย่าร้างสูงขึ้นอย่างฉับพลัน เด็กหลายพันคนที่เกิดขึ้นมาถูกเลี้ยวดูตามลำพังจากพ่อหรือแม่ฝ่ายใดฝ่าย หนึ่ง พ่อแม่เหล่านี้ทำงานมากกว่า 2 อาชีพในครอบครัว และพวกเขาไปในทุกๆ ที่ ดังนั้นคนหนุ่มสาวจะถูกเลี้ยงดูโดยคนอื่นมากกว่าพ่อหรือแม่ของพวกเขา พ่อแม่รุ่นนี้ไม่มีเวลาเพื่อลูกๆ ของพวกเขามากเท่ากับที่ปู่ย่าของพวกเขามีให้พ่อแม่ของพวกเขา และโปรแกรมทางทีวีกลายเป็นผู้ดูแลเด็กๆ วัยหนุ่มสาวทางตอนเหนือของอเมริกา
แต่ความแตกต่างกันของเจเนอเรชั่น x ก่อนการก่อกำเนิดมีบางสิ่งบางอย่างซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการอธิบาย การดำรงอยู่ของกลุ่ม ช่วงสงครามโลกครั้งที่1 เกิดสภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง สงครามโลกครั้งที่2, ร็อคแอนโรล และเด็กๆ มากมายที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1960-1969 ซึ่งทั้งหมดมีความสำคัญเพียงพอที่จะรวมกัน ทำให้พวกเขาต่างก็ก่อเกิดเจเนอเรชั่น สำหรับเจเนอเรชั่นของกลุ่มคนที่มีทัศนคติเหมือนกัน สามารถรวมกันอยู่ในกลุ่มของเจเนอเรชั่น x ซึ่งเห็นแก่ตัว และไม่มีสติปัญญา
กลุ่มเจเนอเรชั่น x คือกลุ่มที่มีเชื้อชาติและสังคมแตกต่างกัน ซึ่งกำเนิดขึ้นในประวัติศาสตร์ พวกเขาก่อกำเนิดขึ้นโดยเป็นมรดกตกทองที่ทำให้เกิดความเสียหาย เป็นภาระยิ่งใหญ่ และมีโอกาสแค่เล็กน้อยเท่านั้นที่พวกเขาจะมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ใกล้ เคียงรุ่นพ่อแม่ของพวกเขา
ภาวะการตกงานที่เพิ่มสูงขึ้นในระหว่างช่วงอายุของกลุ่มเจเนอเรชั่น x งานทั้งหมดถูกทำโดยกลุ่มพ่อแม่ของพวกเขา หรือกลุ่มเจเนอเรชั่น x ไม่มีความสามารถ หรือไม่มีความเชี่ยวชาญพิเศษในการทำงาน และการศึกษาที่สูงขึ้นสูงขึ้น ทำให้ได้เงินสูง คนหนุ่มสาวจำนวนน้อยลงๆ ที่สามารถจะทำได้ นี่เป็นโอกาสและมุมมองของทัศนคติของกลุ่มเจเนอเรชั่น x
บางคนคิดว่าเจเนอเรชั่น x เป็นพวกที่ทำสิ่งที่ไร้สาระมากขึ้น มีความเสี่ยงต่ออันตรายมากกว่ากลุ่มเจเนอเรชั่นเก่า อย่างตัวอย่าง การเล่นกีฬาที่เสี่ยงอันตราย เหล่านี้คือกีฬาที่ไม่มีอันตราย คือ สกี ลโนบอร์ด ปีนเขา จักรยาน นั่นคือสุดขีดของพวกเขาในรูปแบบใหม่ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมใน อันตรายที่ยิ่งใหญ่มากกว่ากีฬาทั่วๆ ไปในปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มเจเนอเรชั่น x บางคนก็เสี่ยงอันตรายโดยการโดดบันจี้จั๊มป์
ในปี 2010 เด็กคนแรกในรุ่นของพ่อแม่พวกเขาจะมีอายุ 65 ปี และจะเกษียณอายุ สิ่งที่มองเห็นก็คือ วันนั้นจะเป็นวันที่น่าหวาดวิตกของกลุ่มเจเนอเรชั่น x มันเป็นวันที่พ่อแม่ของพวกเขาเริ่มมีอายุมากขึ้น และเริ่มสะสมเงินบำนาญจากรัฐบาลแคนาดาและรัฐบาลสหรัฐ จะมีผู้สูงอายุมากขึ้น และระบบเงินบำนาญจะทรุดลง และกลุ่มเจเนอเรชั่น x จะได้รับผลกระทบจากกลุ่มผู้สูงอายุจำนวนมากจากเงินค่าจ้างที่จะได้รับ นี่เป็นปัญหาที่น่าหนักใจมากๆ
[/FONT]
 
Thema:

Geschichten von meiner Frau uebersetzt

Geschichten von meiner Frau uebersetzt - Ähnliche Themen

  • Die 45 Tage Einreise ohne Visum sind Geschichte

    Die 45 Tage Einreise ohne Visum sind Geschichte: Although there was no... - Richard Barrow in Thailand | Facebook
  • Low ("Geschichten aus Hinterindien")

    Low ("Geschichten aus Hinterindien"): Rolf Brunner alias "Low" hatte nur ein einziges Buch über Thailand geschrieben, aber was für eines! Vor einem Jahr hat er sich wegen Krankheit...
  • Geschichten aus dem Leben, nur in Thailand ?

    Geschichten aus dem Leben, nur in Thailand ?: Heute Morgen 9 Uhr. Meine Frau: Sei bitte schnell fertig, ich muss zum Zahnarzt. :D Ich: OK ich gehe nur schnell duschen :running...
  • Umgang mit deutscher Geschichte

    Umgang mit deutscher Geschichte: https://www.youtube.com/watch?v=6GdhFNlvubI Da wir auch hier im Forum immer wieder mal dieses heikle Thema berühren, da lief im Frühjahr, ich...
  • Botschaft gibt Sammelband zur Thai-Deutschen Geschichte heraus

    Botschaft gibt Sammelband zur Thai-Deutschen Geschichte heraus: Die Thai Botschaft in Berlin hat ein gesponsertes Buch zum 150jährigen Bestehen der Thai-Deutschen Beziehungen (Siam-Preußen-Deutsches Reich)...
  • Botschaft gibt Sammelband zur Thai-Deutschen Geschichte heraus - Ähnliche Themen

  • Die 45 Tage Einreise ohne Visum sind Geschichte

    Die 45 Tage Einreise ohne Visum sind Geschichte: Although there was no... - Richard Barrow in Thailand | Facebook
  • Low ("Geschichten aus Hinterindien")

    Low ("Geschichten aus Hinterindien"): Rolf Brunner alias "Low" hatte nur ein einziges Buch über Thailand geschrieben, aber was für eines! Vor einem Jahr hat er sich wegen Krankheit...
  • Geschichten aus dem Leben, nur in Thailand ?

    Geschichten aus dem Leben, nur in Thailand ?: Heute Morgen 9 Uhr. Meine Frau: Sei bitte schnell fertig, ich muss zum Zahnarzt. :D Ich: OK ich gehe nur schnell duschen :running...
  • Umgang mit deutscher Geschichte

    Umgang mit deutscher Geschichte: https://www.youtube.com/watch?v=6GdhFNlvubI Da wir auch hier im Forum immer wieder mal dieses heikle Thema berühren, da lief im Frühjahr, ich...
  • Botschaft gibt Sammelband zur Thai-Deutschen Geschichte heraus

    Botschaft gibt Sammelband zur Thai-Deutschen Geschichte heraus: Die Thai Botschaft in Berlin hat ein gesponsertes Buch zum 150jährigen Bestehen der Thai-Deutschen Beziehungen (Siam-Preußen-Deutsches Reich)...
  • Oben